บทวิเคราะห์สถานการณ์ค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลัง 2557

                     ในช่วงเดือนมิถุนายน 2557 อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ ค่าเงินบาทของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 32.51 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการแข็งค่าจากเดือนมกราคมที่เป็นช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าที่สุดตั้งแต่ปี 2555 คือ เฉลี่ย 32.94 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 1.31 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียแข็งค่ามากที่สุดถึงร้อยละ 3.40  เงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.90 และค่าเงินริงกิตของมาเลเซียแข็งค่าขึ้น ร้อยละ 1.50 

                    ปัจจัยที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ประกอบด้วย ปัจจัยภายใน คือ ความมั่นใจต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่สูงขึ้นเป็นผลจากการเข้ามาบริหารประเทศของ คสช. และ ปัจจัยภายนอก คือ การที่นักลงทุนเทขายเงินดอลล่าร์สหรัฐและซื้อสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ มากขึ้น เนื่องจากความไม่ชัดเจนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ  และแนวโน้มการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศสู่ภูมิภาคเอเชีย ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้นมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 32.07 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ และหากหลุดจากระดับนี้ อาจแข็งค่าขึ้นจนแตะที่ระดับ 31.60 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่ากลับมาอยู่ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐได้

                    การศึกษาของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทส่งผลต่อภาคการส่งออกนเข้าของไทยทั้งในเชิงบวกและลบ คือ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าจะช่วยให้ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบถูกลง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดในประเทศและใช้วัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เหล็ก กระดาษ เคมีภัณฑ์ และปิโตรเลียม แต่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกสูง และใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมประเภทเครื่องนุ่งห่ม ยางพารา ผักและผลไม้แปรรูป อาหารทะเลแปรรูปและทูน่ากระป๋อง (ไม่รวมทูน่ากระป๋อง)  รองลงมาคืออุตสาหกรรมประเภทรถยนต์และส่วนประกอบ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีสัดส่วนวัตถุดิบนำเข้าค่อนข้างสูง

                    หากค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 31.60 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ จะส่งผลให้การส่งออกลดลง ร้อยละ 0.59 เนื่องจากราคาสินค้าไทยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน หากค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 33.00 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ จะส่งผลให้การส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.27 

                    ทั้งนี้ ค่าเงินบาทปัจจุบันยังอยู่ในกรอบที่มีเสถียรภาพ คือ อยู่ระหว่าง 32 – 33 บาท สอดคล้องกับความเห็นของภาคเอกชนของไทยที่มองว่าค่าเงินบาทระดับดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย นอกจากนี้ความผันผวนและการแข็งค่าของค่าเงินบาทเป็นผลกระทบในระยะสั้น จากความเสี่ยงและสถานการณ์ทางการเมืองในต่างประเทศ
ระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงด้วยการซื้อขายเงินตราล่วงหน้าได้ และควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกควบคู่กันไปด้วย เช่น ความต้องการของตลาดโลก ความเชื่อมั่นของต่างประเทศต่อสินค้าและบริการ และความสามารถทางการแข่งขันของการค้าของไทย

---------------------------------------------------------

กรกฏาคม 2557 
กองวิจัยเศรษฐกิจการค้ามหภาค
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
กระทรวงพาณิชย์